tas-go.com
75G ของ EDGE นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการนะคะ เพียงแค่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 2.
5 GB ได้ภายใน 1 วินาที อีกหน่อยหมออาจจะสามารถผ่าตัดทางไกลได้โดยการดูคลิปแล้วแนะนำคุณหมอในโรงพยาบาลที่กันดารแบบ Real Time Sign up here with your email
5G: เป็นเทคโนโลยีชั่วคราวระหว่าง" 2G และ 3G" หากต้องการใส่เพียงก็สามารถกำหนดเป็น 2G + GPRS มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นก่อนเนื่องจากใช้เทคนิคการสลับแพ็กเก็ตข้างโดเมนสลับวงจร ในความเป็นจริงมันเพิ่มอัตราการถ่ายโอนของเทคโนโลยี 2G นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถท่องเว็บบนโทรศัพท์มือถือ 2. 75G: 2. 5G ที่พัฒนาต่อไปและส่งผลให้ 2. 75G หรือที่เรียกว่า (EDGE) Enhanced Data data สำหรับ GSM Evolution มันเร็วกว่า GPRS แม้ว่า 2G ยังมีวางจำหน่ายในหลายประเทศ แต่บางประเทศก็วางแผนที่จะปิดตัวลง 3G กับ 4G 3G (รุ่นที่ 3) 3G เป็นรุ่นต่อไปและให้บริการที่ดีกว่าในทุกด้าน 3G ได้รับการเปิดตัวในปี 2001 และเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดโดย International Telecommunications Union (ITU) ความเร็วในการถ่ายโอน: 3G ให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว แต่ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ผู้ให้บริการใช้ 144Kbps-2Mbps WCDMA = 384Kbps HSPA หรือ 3. 5G = 7. 2Mbps HSPA + หรือ 3. 75G = 21.
5G เป็นยุคก้ำกึ่งระหว่าง 2G และ 3G ซึ่งก็คือ 2. 5G ซึ่ง 2. 5G นี้ เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) นั่นเอง เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้มากกว่ายุค 2G ซึ่งตามหลักการ แล้ว เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps เลยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น ซึ่งในยุค 2. 5G นั้นจะเป็นยุคที่เริ่มมีการใช้บริการ ใ นส่วนของข้อมูลมากขึ้น และการส่งข้อความก็พัฒนาจาก SMS มาเป็น MMS โทรศัพท์มือถือก็เริ่มเปลี่ยนจากจอขาวดำมาเป็นจอสี เสียงเรียกเข้า จากเดิมที่เป็นเพียง Monotone ก็เปลี่ยนมาเป็น Polyphonic รวมไปถึง True tone ต่างๆ ด้วย ยุค 2. 75G ก่อนจะมาถึงยุค 3G เราก็ยังมี 2. 75G ด้วยนะ ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution)นั่นเอง EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูก เรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2. 75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) ลักษณะการทำงานของ EDGE นั้นจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้นแต่ว่า ยุค 2.
หมวดหมู่: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Tags: 4G ระบบ 4G คือระบบสื่อสารไร้สายความเร็วสูงยุคที่ 4 ซึ่งเป็นระบบที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วมาก สูงสุดถึง 100 Mbps ในขณะ ประเทศไทย กำลังตื่นเต้นกับระบบ 3G คลื่น 2100 MHz ที่เพิ่มประมูลไปเมื่อปี พ. ศ.
เทคโนโลยี 3G และ 4G แตกต่างกันอย่างไร? 3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.
75G ประมาณนี้ ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่า 4G คืออะไร? คำตอบแบบง่ายๆ ฟันธงไม่มีครับ เพราะ 4G มีความหมายทั้งในแง่มาตรฐานทางเทคนิคและชื่อทางการค้า ช่วงนี้เราจะเริ่มเห็นเทคโนโลยีชื่อว่า LTE กันบ้างแล้ว ตามความหมายทางวิศวกรรมแล้ว LTE น่าจะถือเป็นยุค 3.
เป็นคำถามที่คนถามเข้ามาอยู่บ่อยๆ ผมมานั่งนึกดูแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ในวงการโทรคมนาคมจริงๆ ชื่อมันก็ชวนให้สับสนไม่ใช่น้อย เลยเขียนบทความตอนนี้เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ... แรกสุดขอให้เข้าใจว่า มือถือที่เราคุ้นเคยกันมานาน ใช้โทร. คุยด้วยเสียง ใช้ส่ง SMS ได้ ถูกเรียกว่าเป็นมือถือแบบ 2G อันนี้ทุกคนคงเข้าใจตรงกัน ยุคต่อมา เมื่อผู้ใช้มีความต้องการให้มือถือต่ออินเทอร์เน็ตได้ ทางบริษัทมือถือก็ทำเทคโนโลยีชื่อ EDGE ที่เล่นเน็ตได้บนระบบ 2G ขึ้นมา ยุคนี้เทียบเป็นตัวเลขคือ 2. 5G แต่ความต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงก็ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เราจึงเข้าสู่ยุค 3G ที่เอาเข้าจริงแล้วแบ่งเป็นรุ่นย่อยๆ มากมาย 3G รุ่นแรกในบ้านเราคือระบบของ Hutch ที่ความเร็วสูงกว่า EDGE แต่ก็ยังไม่เยอะมากนัก ส่วน 3G ที่เราเห็นโฆษณากันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นของ AIS/DTAC/TRUE น่าจะเรียกว่าเป็น 3. 5G หรือ 3. 7G ที่มีความเร็วเพิ่มกว่า 3G ยุคแรกมาก ชื่อมาตรฐานทางเทคนิคในยุค 3. 5G-3. 75G จะขึ้นต้นด้วย "HS" ครับ ซึ่งมีหลายตัวอย่างเช่น HSDPA, HSUPA, HSPA+ ซึ่งผมคงไม่ลงรายละเอียดเพราะจะงงกันเปล่าๆ แต่สรุปง่ายๆ ว่าถ้าเห็นชื่อเหล่านี้ ให้เข้าใจว่ามันคือเทคโนโลยียุค 3.
สนับสนุนการให้บริการมัลติมีเดียในลักษณะที่สามารถโต้ตอบได้ เช่น อินเทอร์เน็ตไร้สาย และ เทเลคอนเฟอเรนซ์ เป็นต้น 2. มีแบนด์วิทกว้างกว่า สามารถรับ-ส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็ว (bit rate) สูงกว่า 3G 3. ใช้งานได้ทั่วโลก (global mobility) และ service portability 4. ค่าใช้จ่ายถูกลง 5.