tas-go.com
ปัจจัยต่างๆจากสิ่งแวดล้อมและความผิดปกติทางจิต ประเภทของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา แบ่งตามระดับความรุนแรง 4 ระดับ ระดับความรุนแรงน้อย ระดับ IQ 55-69 ระดับความรุนแรงปานกลาง ระดับ IQ 40-54 ระดับความรุนแรงมาก ระดับ IQ 25-39 ระดับความรุนแรงมากที่สุด ระดับ IQ <25 อาการแทรกซ้อน • ความพิการซ้ำซ้อน: ความพิการร่างกาย แขนขา ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ • ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม (Challenging behavior) • พฤติกรรมแบบออทิสติก(Autistic-like behavior) • โรคลมชัก Occupational Performance Profile (OPP) ในทางกิจกรรมบำบัดจะแบ่งขอบเขตของการทำกิจกรรม ออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ rformance areas A. Activity of daily living - ช่วยเหลือตนเองได้บ้างแต่ต้องอาศัยการฝึกอย่างมาก - มีความจำกัดในการดูแลตนเอง - ต้องการการดูแลตลอดเวลา ตลอดชีวิต แม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม - พฤติกรรมการกินจุผิดปกติ (Feeding and eating) - มีทักษะการป้องกันตนเองน้อย (Emergency response) - สามารถเรียนรู้การเดินทางตามลำพังได้ในสถานที่ที่คุ้นเคย (Community mobility) - ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ----> การเข้าสังคม (Sosialization) B.
เทคนิคการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ การสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้ จำเป็นต้องมีวิธีสอนที่แตกต่างไปจากเด็กปกติ เพื่อสนองความต้องการพิเศษของนักเรียนเหล่านี้ ซึ่งมีหลักการสอนดังนี้ 1. ครูต้องคำนึงถึงความพร้อมทางการเรียนของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพราะนักเรียนจะเรียนรู้ได้ช้ากว่าเด็กปกติ ก่อนทำการสอนสิ่งใดครูจะต้องเตรียมความพร้อมก่อนนานๆ เมื่อเด็กมีความพร้อมแล้วครูจึงทำการสอนวิชานั้นๆ 2. สอนตามความสามารถและความต้องการของนักเรียนแต่ละคน โดยจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพและลักษณะของนักเรียนคนนั้น 3. สอนตามระดับสติปัญญา เพราะนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามีระดับสติปัญญาต่ำกว่านักเรียนทั่วไปที่มีอายุเท่ากัน 4. ยอมรับความสามารถและพยายามสร้างเสริมความสามารถของนักเรียนอย่าตามใจคอยช่วยเหลือ หรือลงโทษทั้งทางกายวาจามากเกินไป 5. พยายามฝึกให้นักเรียนช่วยตัวเองให้มากที่สุดจะเป็นการช่วยให้นักเรียนพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองเพิ่มขึ้นและแบ่งเบาภาระจากผู้เลี้ยงดู 6. สอนตามการวิเคราะห์งาน (Task Analysis) โดยการแบ่งงาน เป็นขั้นตอนย่อยๆ หลายๆ ขั้นเรียงตามลำดับจากง่ายไปหายากเพื่อไม่ให้นักเรียนสับสน ให้นักเรียนประสบความสำเร็จในงานซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่นักเรียน 7.
ศึกษาข้อมูลของโรค หลีกเลี่ยงการกล่าวโทษตัวเองและคู่สมรสว่าเป็นสาเหตุ 2. พ่อแม่และคนอื่น ๆ ในครอบครัวควรให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็ก คือกำลังใจที่จะทำให้เด็กมีความเชื่อมั่น ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการที่ดีได้ 3. เด็กกลุ่มนี้จะมีพัฒนาการเป็นขั้นตอน เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป เช่น ชันคอก่อนแล้วจึงนั่ง คลาน ยืน เดิน เป็นต้น แต่มักมีความล่าช้าในพัฒนาการ ทำให้เด็กต้องใช้เวลาในการพัฒนาแต่ละขั้นตอนมากกว่าเด็กทั่วไป พ่อแม่สามารถส่งเสริมพัฒนาการลูกได้ โดยการให้เด็กช่วยเหลือตนเองให้เต็มศักยภาพในชีวิตประจำวัน ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เพื่อให้เด็กสามารถไปเรียนและใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ 4. การส่งเสริมพัฒนาการโดยทีมสหวิชาชีพ - พบทันตแพทย์ เพื่อรับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 6 เดือน - พบนักกิจกรรมบำบัด เพื่อส่งเสริมเรื่องการเตรียมกล้ามเนื้อช่องปากให้มีความพร้อมต่อการดูด เคี้ยว ตั้งแต่อายุ 6 เดือนเป็นต้นไป - พบนักกายภาพ เพื่อดูแลเรื่องปัญหากล้ามเนื้อมัดใหญ่การเคลื่อนไหว ตั้งแต่อายุ 6 เดือนเป็นต้นไป โดยไม่ต้องรอให้มีปัญหาการเดิน การเคลื่อนไหว - พบนักแก้ไขการพูด เพื่อส่งเสริมเรื่องการสื่อสารเมื่อเด็กกลุ่มอาการดาวน์อายุ 1 ขวบครึ่ง 5.
ความบกพร่องด้านการอ่าน ความบกพร่องด้านการอ่านเป็นปัญหาที่พบได้มากที่สุดของเด็ก LD ทั้งหมด เด็กมีความบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ และขาดทักษะในการสะกดคำ จึงอ่านหนังสือไม่ออกหรืออ่านช้า อ่านออกเสียงไม่ชัด ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความสามารถในการอ่านหนังสือต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี 2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ ความบกพร่องด้านนี้ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับความบกพร่องด้านการอ่าน เด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง บางครั้งเรียงลำดับอักษรผิด จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิด ทำให้ไม่สามารถแสดงออก ผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการเขียนสะกดคำต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี 3.