tas-go.com
ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานตัวแรกที่มีประสิทธิภาพและมีการใช้อย่างแพร่หลายคือ warfarin ซึ่งยังมีข้อจำกัดในการใช้กับผู้ป่วยบางกลุ่ม แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนายาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานกลุ่มใหม่ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า Non-vitamin K antagonist oral anticoagulants (NOACs) หรือ ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ไม่ได้ออกฤทธิ์ต้านวิตามินเค เพื่อให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษามากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้ยา warfarin รายละเอียดยาเบื้องต้นที่ควรทราบมีดังนี้ กลไกการออกฤทธิ์ของ NOACs แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 1. ออกฤทธิ์ต้าน thrombin โดยตรง ซึ่ง thrombin ทำให้เกิดกระบวนการแข็งตัวของเลือด ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Dabigatran 2. ออกฤทธิ์ยับยั้ง factor Xa ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Rivaroxaban, Apixaban และ Edoxaban ข้อบ่งใช้ที่สำคัญ 1. ใช้ในผู้ป่วย โรคหัวใจ ห้องบนสั่นพริ้วที่ไม่มีโรคลิ้นหัวใจร่วมด้วย เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน 2. ใช้รักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำในปอด แขน หรือขา 3. ใช้ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก หรือ ข้อเข่า วิธีการรับประทานยา ควรรับประทานตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เนื่องจาก การรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ สามารถเพิ่มทั้งความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันและความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกผิดปกติได้ อาการหรือสิ่งผิดปกติที่ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทันที 1.
Vitamin K แหล่งที่มา วิตามินเค ที่ได้จากธรรมชาติ มีอยู่ 2 ชนิด คือ 1. Phytomenadione หรือ Phylloquinone คือ วิตามินเค1 พบในพืชพักใบเขียว 2. Menaquinone คือ วิตามินเค1 พบในตับ เนื้อสัตว์ นม และสังเคราะห์ได้จากแบคทีเรียในลำไส้ วิตามินเค ที่ได้จากการสังเคราะห์ คือ Menadione หรือ วิตามินเค1 และ Menadiol หรือ วิตามินเค4 ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของMenadione โรคขาดวิตามินเค พบน้อยมาก เนื่องจากมีในอาหารทั่วๆไป และสังเคราะห์ได้จากแบคทีเรียในลำไส้และร่างกายมีตวามจ้องการต่ำมาก ประโยชน์ ช่วยเสริมการทำงานของตับในการสร้างสารที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือดหลายชนิด ได้แก่ Prothrombin (Factor II), Proconvertin (Factor VII), Plasma thromboplastin component (Factor IX), และ Stuart factor (Factor X) ข้อบ่งใช้ 1. ป้องกันและรักษาโรคเลือดออกในเด็กแรกเกิด 2. รักษาภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับ Factor II, VII, IX, และ X 3. เด็กทารกที่ได้รับสูตรอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของนมวัว 4. เมื่อต้องการวิตามินเค เพิ่มขึ้น เช่น การให้ยาต้านจุลชีพเป็นเวลานาน ภาวะขาดน้ำดีคั่ง โรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง ภาวะการดูดซึมไขมันบกพร่อง เป็นต้น อาการการขาด เลือดแข็งตัวช้า Hemorrhagic disease of the newborn เลือดออกง่ายใต้ผิวหนัง โรคกระเพาะ โรคดีซ่าน อาการพิษ อาเจียน ร้อนวูบวาบ ปวดหน้าอก หากฉีดวิตามินเค เข้าหลอดเลือดดำ ทารกอาจเกิดเม็ดเลือดแดงแตก Billirubin ในเลือดสูง ตัวเหลือง การพยาบาล แนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคขาดวิตามินเค รับประทานอาหารที่มีวิตามินเคสูง หากเป็นชนิดฉีด ควรฉีดเข้ากล้ามเนื้อมากกว่าฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
ข้ามไปเนื้อหา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี วิตามิน K 1 (phylloquinone).
5 ไมโครกรัม/วัน อายุ 1-3 ปี 30 ไมโครกรัม/วัน เด็กอายุ 4-8 ปี 55 ไมโครกรัม/วัน เด็กอายุ 9-13 ปี 60 ไมโครกรัม/วัน เด็กอายุ 14-18 ปี 75 ไมโครกรัม/วัน ผู้ใหญ่ เพศชาย อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป 120 ไมโครกรัม/วัน เพศหญิง อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป 90 ไมโครกรัม/วัน ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี 75 ไมโครกรัม/วัน ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ที่มีอายุ 19-50 ปี 90 ไมโครกรัม/วัน ส่วนตัวอย่างปริมาณวิตามินเคที่แพทย์อาจใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยภาวะต่าง ๆ ได้แก่ การฉีดยาเพื่อป้องกันภาวะมีเลือดออกในเด็กแรกเกิด ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ 0. 5-1 มิลลิกรัม ภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด การฉีดยาเพื่อรักษาภาวะมีเลือดออกในเด็กแรกเกิด ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง 1 มิลลิกรัม หรือแพทย์อาจเพิ่มปริมาณการให้ยาตามสมควร หากผู้เป็นแม่กำลังรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดด้วย การรักษาภาวะโพรทร อมบินในเลือดต่ำ (Hypo prothrombinemia) จากการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือปัจจัยอื่น ๆ สามารถรักษาได้โดยการรับประทานยา ฉีดยาเข้าเส้นเลือด ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ หรือ ฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง ปริมาณ 2.