tas-go.com
ความหมายต้องเข้ากับบริบทแวดล้อม → แปลไทยเลยถ้าแปลเป็นไทยแล้วแปลกๆมีสิทธิ์ผิดแนา เตรียมฝนเลยครัช GAT มีนาคม 54 Urban centers around the globe (1) is seeing huge growth in the (2) serviced apartment and office space markets, an (3) attractive option (4) in today's residential environment.
เธอยังพูดต่อไป หลังจากที่ฉันบอกให้เธอเงียบ keep up รักษาระดับ You must keep up the good work. คุณต้องรักษาระดับงานที่ดีของคุณไว้ look after ดูแล The women who stay at home to look after children. พวกผู้หญิงที่อยู่บ้าน ดูแลเด็ก ๆ look for หา/ค้นหาสิ่งของ เช่น หาพวงกุญแจ I am looking for a new car ฉันกำลังหารถใหม่สักคัน look forward to คาดหวัง/คอย I am looking forward to seeing you soon. ฉันกำลังคาดหวัง คอรอย การพบคุณในเร็ว ๆ นี้ look into สืบสวน The police will look into the possibilities of embezzlement. ตำรวจกำลังสืบสวนถึงความเป็นไปได้ ในกรณีทุจริต look like เหมือน She looks like her mother เธอ(มีรูปร่างลักษณะ)เหมือนแม่ของเธอ ดูเหมือนว่าอะไรจะเกิดขึ้น It sure looks like snow today. วันนี้ ดูเหมือนว่า ฝนจะตก look out ระวัง The police have warned shopkeepers to look out for forged notes. ตำรวจได้เตือน เจ้าของร้านค้า ให้ระวังแบ็งค์ปลอม look over ตรวจสอบ The lawyers looked over the papers carefully before questioning the witness. นักกฎหมาย ตรวจสอบเอกสารอย่างถ้วนถี่ ก่อนที่จะถามพยาน look up ค้นหาข้อมูล/ความจริง เช่น ค้นหาความหมายของคำ You've misspelled this word again.
หากจะพิจารณาโครงสร้างของประโยคตามหน้าที่ (function) ของคำประเภทต่าง ๆ ว่าทำหน้าที่อะไรในประโยคแล้ว โครงสร้างของประโยคจะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญที่สุด 3 ส่วนคือ ประธาน (Subject), กริยา (Verb) และส่วนเติมให้สมบูรณ์ (Complement) ส่วนขยาย (modifiers) เช่น (adjectives, adverbs) และคำเชื่อม (connectives) เช่น prepositions, conjunctions, และอื่นๆ มีหน้าที่ช่วยเพิ่มเติมสนับสนุนที่สำคัญที่สุด โดยที่ modifiers มีหน้าที่ช่วยให้มีความหมายมากขึ้น หรือชัดเจนยิ่งขึ้น และ connectives มีหน้าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของประโยค เพื่อให้ประโยคเหล่านั้นมีความต่อเนื่องราบรื่น ไม่สะดุด 1. Subject คือคำ หรือกลุ่มคำที่อาจเป็นบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือสภาวะทางนามธรรม ซึ่งเป็นผู้แสดงออกในประโยค ส่วนใหญ่ subjects ที่เป็นประเภทคำโดด (single words) มักจะเป็นคำประเภท nouns และ pronouns เสมอ เช่น The Principal called the meeting at 2 o'clock. He wanted every staff member to attend the meeting. Verbals (คำคล้าย verbs) เช่น gerund และ infinitive ก็อาจเป็น subject ได้ Jogging is good exercise. (gerund) To run is more tiring than to walk.
6. Verbals Verbals เป็นคำที่สร้างจาก verbs แต่ไม่มีฐานะเป็น verbs, verbals มี 3 ชนิดคือ infinitive, participle และ gerund 6. 1 Infinitives (to go, to run, to see, etc. ) Infinitives ทำหน้าที่เหมือน noun, adjective หรือ adverb ได้ I like to dance. (noun) A book to read is what the child wants. (adjective) They went to play basketball. (adverb) 6. 2 Participle มี 3 ชนิดคือ present participle (reading, printing, feeling, etc. ), past participle (written, typed, built, etc. ) และ perfect participle (having written, having typed, having built, etc. ) Participle ทำหน้าที่อย่างเดียวคือเป็น adjective เท่านั้น คือขยายคำนามที่เป็นประธานของประโยค Going to the basement, John slipped. (adjective) Typed and signed, the letter was mailed today. (adjective) Having seen the accident, she called the police. (adjective) 6. 3 Gerund (swimming, running breaking, etc. ) โดยทั่วไปทำหน้าที่เป็น noun David enjoys playing games on the internet. (noun) ทำหน้าที่กรรมตามหลังคำกริยา enjoy
ผู้ชาย กิน มะม่วง – คำว่า eat บอกการกระทำ The sun is hot. พระอาทิตย์ ( คือ) ร้อน – คำว่า is บอกสถานะของพระอาทิตย์ว่าเป็นอย่างไร แต่คำว่า is am are บางทีจะไม่แปลกัน ♦ Verb มีอะไรบ้าง มีกี่ประเภท การแบ่งประเภทของ Verb ขึ้นอยู่กับว่า จะแบ่งกันอย่างไรนะครับ ไม่กำหนดหลักเกณฑ์ตายตัวแน่นอน 1. สกรรมกริยา (Transitive Verb) และ อกรรมกริยา (Intransitive Verb) – สกรรมกริยา (Transitive Verb) คือกริยาที่ต้องมากรรมมารับ มิฉะนั้นจะไม่สามารถสื่อความหมายได้สมบูรณ์ คำกริยาชนิดนี้ ได้แก่ love, like, eat, hit, clean, buy, cut, do, have, make, meet เป็นต้น ถ้าไม่มีกรรมมารับจะไม่สามารถสื่อความกันได้เป็นที่เข้าใจกัน เช่น I love. ผมรัก…. อ้าวแล้วรักอะไรล่ะ.. ดังนั้นจึงต้องมีกรรมมารองรับ We eat. พวกเรากิน…. อ้าวแล้วกินอะไรล่ะ.. ดังนั้นจึงต้องมีกรรมมารองรับ ตัวอย่างเช่น I love you. ผมรักคุณ (คุณเป็นกรรมของประโยค) You like a cat. คุณชอบแมว (แมวเป็นกรรมของประโยค) We eat rice. พวกเรากินข้าว (ข้าวเป็นกรรมของประโยค) They buy a car. พวกเขาซื้อรถยนต์ (รถยนต์เป็นกรรมของประโยค) – อกรรมกริยา (Transitive Verb) คือกริยาที่ไม่ต้องมากรรมมารับ ก็สามารถสื่อความหมายได้สมบูรณ์ คำกริยาชนิดนี้ ได้แก่ sit, stand, swim, walk, sleep, fly, run, sing, danceเป็นต้น I sit.
ตะลุยข้อสอบจริง 150 ข้อ รวมเทคนิคพิชิตอังกฤษ 9 วิชาสามัญ ครบทุกประเภทคำถาม ปรับพื้นแกรมม่า คัดเฉพาะกฎแกรมม่าที่สำคัญ กระชับเอาไปทำข้อสอบได้เลย เทคนิคจำศัพท์ 2, 500 คำ แบบไม่ต้องท่อง! โดยใช้วิดีโอ Flashcards วิดีโอตัวอย่างคอร์ส ครูพี่หมี ป. ตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 มหาวิทยาลัยมหิดล, ป. โท จากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon University (ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ Top 5 ของสหัฐอเมริกา), ประสบการณ์การสอนหลักสูตรนานาชาติที่ ม. มหิดล 3 ปี
2. 3 คำกริยา (verb) คือ คำที่แสดงอาการ การกระทำ หรือบอกสภาพของประธานของประโยค คำกริยาเป็นส่วนสำคัญของประโยค หากขาดคำกริยาไป คำ หรือกลุ่มคำนั้นจะไม่ถือเป็นประโยค 2. 3. 1 ประเภทของคำกริยา คำกริยาอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ main verb, auxiliary or helping verb (auxiliaries) และ modal verb (modals) 1) Main Verb คือ กริยาแท้ หรือกริยาหลักของประโยคซึ่งแบ่งออกเป็น Transitive Verb คือ กริยาที่ต้องการกรรม เช่น eat, send, make We eat fruit before a meal. Jane sent her parents a postcard. He made a reservation at the hotel in Rome. Intransitive Verb คือ กริยาที่ไม่ต้องการกรรม แต่อาจมีส่วนขยายหรือไม่ก็ได้ เช่น fly, walk, swim Many birds fly south for the winter. Those children walk to school every day. Alan always swims with his sons. Linking Verb คือ คำกริยาที่เชื่อมประธานกับส่วนเสริมประธานซึ่งอาจเป็นคำนาม หรือ คำคุณศัพท์ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน หรือเป็นการขยายความบอกลักษณะ ได้แก่ BE(am, is, are, was, were, being, been), appear, become, grow, prove, remain, seem, turn และคำกริยาที่บ่งบอกประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ look, sound, smell, taste, feel Pai, a popular tourist attraction, is their new home.
เขาถูกตีที่ศีรษะอย่างแรง, แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปหลายนาที, เขาก็เริ่มที่จะฟื้นคืนสติมาได้อีกครั้ง Phrasal Verb Meaning การใช้ blow up ระเบิด แยกได้ The terrorists tried to blow up the railroad station. ผู้ก่อการร้ายพยายามที่จะระเบิดสถานีรถราง bring up เลี้ยงดู It isn't easy to bring up children nowadays. มันไม่ใช่เรื่องง่าย ในการเลี้ยงดูเด็ก ทุกวันนี้ call off ยกเลิก They called off this afternoon's meeting. เขายกเลิกการประชุมบ่ายวันนี้แล้ว call on เรียกให้ตอบ(ครู/นักเรียน) แยกไม่ได้ The teacher called on students in the back row. ครูเรียกนักเรียนแถวหลังให้ตอบ เยี่ยม Somsak called on his sick mother at the hospital yesterday. สมศักดิ์ไปเยี่ยมแม่ ที่โรงพยาบาล เมื่อวานนี้ call up โทรศัพท์ My mother call me up last night. แม่ฉันโทรมาหาฉัน เมื่อคืนนี้ come back กลับ You can come back here any time you want to. คุณสามารถกลับมาที่นี่ได้ ตลอดเวลา ที่คุณต้องการ come over ไป/มาหา Is your family coming over from Greece for the wedding? ครอบครัวของคุณจะมาจากประเทศกรีซ ในงานแต่งไหม? count on พึ่งได้ I am counting on my good grade to find a job.