tas-go.com
ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นที่มีอาการมาตั้งแต่เด็ก แต่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อาการของโรคจะถือว่าค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถใช้ชีวิตได้ปกติตามวัยทว่าก็อาจจะมีอาการของโรคสมาธิสั้นหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ขี้หงุดหงิด เครียดง่าย ขี้โมโห หรือมีเรื่องกับญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมงานบ่อย ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนงานอยู่เรื่อย รวมทั้งอาจมีนิสัยชอบใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เคสนี้มักจะสามารถควบคุมตนเองได้พอสมควร หรืออาจมีความคิดสร้างสรรค์และสติปัญญาดีด้วยในบางคน 2. ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก หรืออาจได้รับความกดดันจากผู้ใกล้ชิด ทำให้มีพัฒนาการที่ช้าลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นผู้มีอารมณ์ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน ต้องประคับประคองอาการผิดปกติเหล่านี้ด้วยยาเป็นประจำ แต่ก็ยังอยู่ในขอบข่ายที่ใช้ชีวิตในสังคมได้ เพียงแต่ควรต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ 3. ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นที่ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นโรค เคสนี้ในวัยเด็กจะดูปกติและฉลาดสมวัย ทำให้ไม่มีใครฉุกคิดว่าพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว อันธพาล ชอบความรุนแรง และไม่คิดก่อนทำของผู้ป่วยเป็นอาการของโรค แต่เข้าใจไปว่าเป็นแค่เพียงลักษณะนิสัยปกติเท่านั้น จนในที่สุดก็ไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง และอาจเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหาชีวิต มีปัญหาการเข้าสังคม และไม่ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน เอ้า!
ลักษณะของโรคสมาธิสั้น โดยทั่วไปแล้ว ลักษณะทางคลินิกของโรคสมาธิสั้นเป็นผลมาจากความผิดปกติของสมอง ทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ ไม่สามารถจดจำสิ่งที่ตั้งใจไว้หรือไม่สามารถจำข้อมูลที่หลากหลายอย่างพร้อม ๆ กันได้ ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจด้วยตนเองได้ และไม่สามารถวางแผนได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้ดี ซึ่งอาการของโรคสมาธิสั้นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้ วิดีโอจาก: RAMA Channel 1.
ปัจจัยทางชีวภาพ คือ เกิดจากพันธุกรรม 2. ปัจจัยทางร่างกาย เช่น การทำงานของสมอง การทำงานที่ผิดปกติของระบบสารสื่อประสาท 3. ปัจจัยจากสภาพแวดล้อม เช่น การเลี้ยงดูจากครอบครอบ โดยจะพบว่าการเลี้ยงดูที่ไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอในเรื่องของการฝึก ระเบียบวินัย หรือการปรับพฤติกรรม แต่ถามว่าการเลี้ยงดูอย่างเดียวจะเป็นสาเหตุของโรคใหม อันนี้ก็คงจะไม่ใช่เพราะมีหลายปัจจัยที่จะไปกระตุ้น อาจจะเป็นปัจจัยไดปัจจัยหนึ่งไปกระตุ้น ทำให้อาการของเขานั้นชัดเจนมากขึ้นมากกว่า วิธีการรักษาอาการสมาธิสั้น 1. รับประทานยา ตามที่แพทย์สี่งเท่านั่น พาเด็กไปพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อได้รับการประเมิน เพราะการวินิจฉัยจำเป็นจะต้องทราบประวัติจากหลายๆส่วน ทั้งจากผู้ปกครอง 2. โรงเรียน เมื่อวินิจฉัยแล้ว การรักษาที่ได้ผลดีที่สุด คือ การับประทานยา ซึ่งเป็นยาที่ช่วยเสริมในเรื่องของสมาธิ (ยาเสริมสมาธิ) โดยทั่วๆก็จะมีทั้งออกฤทธิ์สั้น และยาว 3. ยาจะช่วยให้คงสมาธิและยังลดความหุนหันพลันแล่น หรือการฝึกง่ายควบคุมตัวเองได้มากขึ้น 4. จิตบำบัด โดยการปรับการเลียงดูและปรับพฤติกรรมเชิงบวกอย่างสม่ำเสมอ โรคนี้เด็กจะมีปัญหาทางด้านพฤติกรรมข้างข้างมาก 5.
การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น สามารถทำได้โดยการซักประวัติจากพ่อแม่และครูที่โรงเรียน โดยเกณฑ์ที่วัดว่าเด็กมีโรคสมาธิสั้น ได้แก่ มีอาการขาดสมาธิหรืออยู่ไม่นิ่ง-หุนหันพลันแล่นก่อนอายุ 7 ปี ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน มีอาการอย่างน้อยใน 2 สถานการณ์ขึ้นไป เช่น มีอาการทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน อาการต้องส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง และอาการต้องไม่เข้ากับโรคทางจิตเวชอื่นๆ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มตามลักษณะอาการเด่น ได้แก่ ชนิดขาดสมาธิ ชนิดซน-หุนหันพลันแล่น และชนิดผสม เด็กสมาธิสั้น รักษาให้หายขาดได้หรือไม่ และควรมีวิธีการดูแลอย่างไร?
30 น พอห้องทำงานเปิด ก็เริ่มทำงานตั้งแต่เช้า ช่วงเที่ยงไม่เคยออกไปรับประทานอาหารแล้วกลับมาหลัง 13.
ไม่ตั้งใจฟัง ไม่สนใจในขณะที่มีคนพูดด้วย 2. ไม่ทำอะไรไปตามขั้นตอน ชอบทำอะไรง่ายๆ รวบรัด 3. ไม่ชอบทำอะไรเป็นเวลานานๆ มักเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน 4. ไม่ชอบเรียนรู้เรื่องที่ต้องใช้เวลา 5. มองข้ามเรื่องสำคัญ ไม่ใส่ใจรายละเอียด จนเกิดความผิดพลาดบ่อยๆ 6. มักลืมอุปกรณ์เครื่องใช้หรือสิ่งของจำเป็น 7. มักลืมสิ่งที่ต้องทำหรือสิ่งที่ได้รับมอบหมาย 8. วอกแวกง่ายเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น หรือมีความคิดอื่นมากระตุ้นในขณะทำกิจกรรมใดๆ อยู่ 9. จัดลำดับความสำคัญไม่เป็น เรียงลำดับสิ่งที่ควรทำก่อนหลังไม่ได้ 10. บริหารจัดการเวลาได้ไม่ดี ไม่สามารถทำงานเสร็จตามกำหนดการ 11. หลีกเลี่ยงและไม่ชอบงานที่ต้องใช้ความพยายามมากๆ 12. มีปัญหากับการทำงานตามกำหนด กฎระเบียบหรือกรอบคำสั่ง ด้านการตื่นตัว อยู่ไม่นิ่ง และหุนหันพลันแล่น 1. พูดมาก พูดไม่หยุด 2. นั่งนิ่งอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในเงียบสงบ 3. ว่องไว เคลื่อนไหวรวดเร็ว ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา 4. มีปัญหาเกี่ยวกับการรอ ไม่ชอบการรอคอย 5. ลุกออกจากที่นั่งบ่อยๆ ในสถานการณ์ที่ควรนั่ง 6. ลุกลี้ลุกลน กระสับกระส่าย 7. ไม่สามารถทำกิจกรรมได้เงียบๆ ตามลำพัง 8. พูดโต้ตอบสวนขึ้นมาในขณะที่อีกฝ่ายยังพูดหรือถามไม่จบ 9.
พฤติกรรมขาดสมาธิ วอกแวกง่าย เหม่อลอย จดจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ ขี้ลืม เบื่อง่าย ไม่ค่อยรอบคอบ ทำงานไม่เสร็จตามเวลา ไม่ชอบทำงานที่ต้องอาศัยสมาธิ หรือความพยายาม 2. พฤติกรรมซุกซนไม่อยู่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา ยุกยิก ต้องหาอะไรทำ เหมือนเด็กที่ติดเครื่องตลอดเวลา พูดมาก พูดเก่ง ชอบเล่นหรือทำเสียงดังๆ เล่นกับเพื่อนแรงๆ เด็กกลุ่มนี้จะรู้จักกันในชื่อว่า "เด็กไฮเปอร์" 3.